วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

Link Blog


  1. www.itme7.blogspot.com
  2. www.napattttt.blogspot.com
  3. www.supakorn43.blogspot.com
  4. www.beambeamz.blogspot.com
  5. www.choooocooo.blogspot.com
  6. www.railw.blogspot.com
  7. www.m43no07.blogspot.com
  8. www.std4308.blogspot.com
  9. www.aboutme-one.blogspot.com
  10. www.tesuphawit4.blogspot.com
  11. www.jomjomkris.blogspot.com
  12. www.myfreewebsitesafe.blogspot.com
  13. www.satit1411789dk.blogspot.com
  14. www.letplaythisgame.blogspot.com
  15. www.mydairy555.blogspot.com
  16. www.paisawas.blogspot.com
  17. www.workkkkkk.blogspot.com
  18. www.praewm4318.blogspot.com
  19. www.belhfl032.blogspot.com
  20. www.valentinetine.blogspot.com
  21. www.pnsy-post.blogspot.com
  22. www.tlesutthisak4322.blogspot.com
  23. www.leenwarintorn23.blogspot.com
  24. www.zeenpongsun.blogspot.com
  25. www.std4325.blogspot.com
  26. www.healthyy2.blogspot.com
  27. www.nymphsprofile.blogspot.com
  28. www.kknowledge9.blogspot.com
  29. www.woraphong1.blogspot.com
  30. www.sarach9.blogspot.com
  31. www.
  32. www.myblogblogblogmyblog.blogspot.com
  33. www.freewebp.blogspot.com
  34. www.
  35. www.pawatjindarat.blogspot.com
  36. www.
  37. www.timemy1234.blogspot.com
  38. www.kuk13333k.blogspot.com
  39. www.tortorres999.blogspot.com
  40. www.poommyy.blogspot.com


ไดอารี่4


วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

วันผมตื่นตั้งตี 4 เพื่อที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ถ้าว่าไปทำไมหรอ ก็ไปเหมื่อนตามเคย พอไปถึงก็ 6 โมงเช้านั้นรอหมอมา จนหมอมา ก็ตรวจถึง 9โมงครึ่ง ผลออกมาก็ตามเคยยย ที่ไปตรวจเพื่อจะไปดูภาวะอาการของโรค พอตรวจเสดก็นั้งรถกลับมาาา พอมาถึงบ้านก็เที่ยวแลัวจึงรีบแต่งตัวแลัวก็ออกไปกินข้าวเที่ยว พอจะบ่ายโมงก็รีบเข้าโรงเรียน แลัวก็วิ่งขึ้นห้อง เพราะนึกว่าเขาจะเรียนกันแลัว
แต่ที่ไหนได้อะ ยังไม่เรียนกันเลย ในคาบวิชา ฟิสิก เป็นคาบแรกที่สบายจิงงง พอถึงคาบ คณิต ก็สบายยยอีก พอถึงคาบ เคมี ก็ยิ่งสบายยยยไปอีก 555 ทำไมหรอ ว่าทำไมคาบเคมีถึงได้บอกว่าสบายยยย 555 ผมก็ไม่รู้ผมก็เรียนไปและเข้าใจไปกับมัน ถ้าว่ามีไม่เข้าใจไม บอกได้เลยว่ามีแต่ ไม่เป็นไร อันไหนผมไม่รู้ผมก็จะถามอ. จนรู้ให้ได้ครับบบ วันกลับถึงบ้านก็นั้งมองรถก่อนนนน เพราะรักรถมากกก พอ 5 โมงก็ออกไปหาอะไรกิน จนถึง 1 ทุ่มก็กลับมาบ้านแลัวก็เริ้มทำอักฤษใหม่หมดเลย T_T เพราะอันเก่ามันไม่สวยก็เลย เริ้มใหม่ ได้ ไปแลัว 380 คำ พรุ่งนี้คงครบ 1000 ครับ 555 แลัวก็มานั้งสรุปคณิตที่จะสอบพรุ่งนี่ จนถึงตอนนี้ หมดเรื่องที่จะเล่าแลัววววว ไปนอนดีกว่าาาาาาา บายยยยยยยยยยยย

ไดอารี่3


วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555


 เมื่อวันของวันเสาร์ผมได้นอนตอน 6 โมงเช้าของวันอาทิตย์ เพราะนั้นทำการบ้านทั้งคืนเลย บอกได้คำเดียวว่ามันเหนื้อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พอหลับไปผมก็ไม่รู้สกอะไรเลย รู้สึกอย่างเดียวว่าที่นอนมันดีจิงๆๆๆๆ ตื้นมาก็ ทุ่มกว่าแลัววววว วันนี้เลยไม่มีเรื่องอะไรจะเล่ามากกกก ออกจากบ้านไปหาอะไรกิน กลับมาก็ 2 ทุ้ม ตอนนี้นั้นอ่านชีวะอยู่ คงมีเรื่องจะเล่าแค่นี้แหละ เออใช้วันถือมือถือหายด้วย

ไดอารี่2


วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

วันนี้ครับ วันนี้ผมตื่นนอน 8 โมงเช้า แต่ก็หลับไปตอน 8.30 ตืนมาอีกทีก็ 9 โมงแลัว ได้อาบน้ำตอน 10 โมง พอ 11 โมง ผมก็ไปล้างรถที่บ้านโกอ่าง ล่างเสดก็ 12.30 หรือ เที่ยวกว่านี้เอง ผมก็เลยไปหาอะไรกิน ถึง 1.30 พอก็มาบ้านนั้งดูทีวีกับทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ทำเสดก็ บ่าย 3 โมงผมจึงไปเรียนพิเศษที่บ้านอ.แสงเดือน ผมก็เอารถไปจอดที่บ้านอ.แสงเดือน แต่เรียนอยู่ดีๆๆ ผมก็ตกลงมาหนัดจึงทำให้รถที่ผมเพืมล่างเสดสกปรกไปทั้งค้นเลย ผมก็อยู่ที่บ้านอ.แสงเดือนถึง 5 โมงเย็นผมก็ออกไปหาอะไรกินกับไปชื่อของทำฟิสิก กลับถึงบ้านก็ ทุ่มกว่าแลัว ตอนนี้ก็ยังทำการบ้านอยู่ คิดว่าจะทำให้เสดคืนนี้ครับบบบบ

ไดอารี่1

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ.2555
-ตื่นนอนตอน 06.00น.
-แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ ตอน06.05
-แต่งตัวตอน06.20
-กินข้าวเช้า06.30
-ออกจากบ้านไปโรงเรียน 07.20
-ถึงโรงเรียนตอน07.30
-07.50เข้าแถว
-08.20เข้าเรียน
-12.00กินข้าว
-16.30กลับบ้าน
-กินข้าวเย็น19.00
-อาบน้ำ20.34
-เข้านอนตอน23.26

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

10 อันดับกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ลำดับที่ 10. Sultan Qaboos bin said of Oman 



มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970
หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ
สุลต่านกาบุสได้ ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน
ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 9. Princes Albert II of Monaco



เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียว
ที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาว
ของพระองค์เข้าเรียน คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส
พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ
ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์
และหุ้นส่วนกิจการ คาสิโนในโมนาโก
พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ
(ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก)
โดยการสร้างเขต ปกครองใหม่ในทะเล
ซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้
สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 8. King Mohammed VI of Morocco



กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก
ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ
เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโต
ทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟต, เกษตรกรรม
และทรงร่วมหุ้นกับบริษัท
Morocco's largest public company, ONA.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 7. Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar



ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่
มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
(ข้อมูลหาได้เท่านี้ครับ) << (จากเว็บเครดิต)

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein



เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์
มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่งทุนหลักของพระองค์
(บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี)
ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว
ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า
ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน
จากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่า
พระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 5. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai



ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ
ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding
ซึ่งมีการลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่
และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้
กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้
ได้ใช้เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้น
ในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ
เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York
และทรง เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 4. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei



สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศ
ที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ
ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน (ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ)
ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมัน
เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไนลดลง
โดยฟอร์บระบุว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอด
ของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 3. King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia



กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ
ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่ 21.5 พันล้านเหรียญฯ
รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน
ที่ซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมัน
ทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี อาระเบียนส์
แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่า
แหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040
หรืออีกใน 32 ปี ข้างหน้านี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 2. Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates



ชีค คาลิฟา บิน ซาเ ยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี
(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ
23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความมั่งคั่งของพระองค์
เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบี เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมัน
สำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นอกจากนั้น อาบูดาบียังมีชื่อเสียง เนื่องมาจากการลงทุน
ระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือ
เงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 1. King Bhumibol Adulyadej of Thailand



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุด
ของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้
โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้าน
เหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน
1 บาท: 34 ดอลลาร์) 

ที่มา http://fws.cc/civilnu51/index.php?topic=417.0

หอไอเฟล

หอไอเฟล (ฝรั่งเศสTour Eiffelตูร์แอฟแฟลอังกฤษEiffel Tower) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้[ต้องการอ้างอิง] และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง[ต้องการอ้างอิง] ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในกรุงปารีส[6] และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย
หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครส์เลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น
หอไอเฟล

[แก้]เหตุการณ์

  • 10 กันยายน พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) - โทมัส เอดิสันได้เข้าชมหอไอเฟล
  • พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอคอยได้สร้างเสร็จ และเป็น 1 ในสิ่งก่อสร้างในงาน EXPO
  • พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) - ฟ้าผ่าหอไอเฟล จึงได้มีการซ่อมยอดของหอ สูง 100 เมตร (330 ฟุต) และเปลี่ยนดวงไฟที่เสียหาย
  • พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) หอเสียตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ให้แก่ตึกไครส์เลอร์
  • ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1925 - 1934) ประดับไฟ 3 ด้านใน 4 ด้านของหอ
  • พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) เมื่อนาซีเยอรมันสามารถยึดปารีสได้แล้ว ชาวฝรั่งเศสได้ตัดลิฟท์ออก ทำให้ฮิตเลอร์ต้องปีนบันได 1,665 ขั้น แต่เขาไม่ปีน เขาให้เอาธงเยอรมันไปปักไว้บนหอแทน แต่ธงผืนแรกนั้นใหญ่เกินไป ในเวลาไม่นานก็ถูกลมพัดตกลง เขาจึงเปลี่ยนให้เอาธงผืนเล็กกว่าไปปักแทน ส่วนการซ่อมลิฟท์เป็นไปได้ยากในเวลาสงคราม
  • พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เดือนสิงหาคม เมื่อฝ่ายพันธมิตรใกล้เข้ามา ฮิตเลอร์สั่ง Dietrich von Choltitz ให้เผาเมืองปารีส และหอทิ้ง แต่เขากลับฝืนคำสั่งไม่เผา หลังจากที่ ฝ่ายพันธมิตรยึดปารีสคืนได้ ลิฟท์ก็ถูกซ่อมให้ใช้งานได้ในไม่กี่ชั่วโมง
  • พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) วันที่ 3 มกราคม ไฟไหม้ยอดของหอ และในปีเดียวกันนั้นก็ได้นำเสาอากาศวิทยุไปติ้งตั้งบนยอดด้วย
  • ทศวรรษที่ 1980 ได้มีการเคลื่อนย้ายรื้อร้านอาหารที่เก่าแก่ในหอออก ไปสร้างใหม่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาแทน
  • พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ได้มีการติดตั้งโคมไฟบนยอดของหอ
  • พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) วันที่ 28 พฤศจิกายน หอไอเฟลต้อนรับแขกคนที่ 200 ล้าน
  • พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) วันที่ 22 กรกฎาคม ไฟไหม้ยอดของหอ ในห้องเก็บของอีกครั้ง ใช้เวลาดับไฟประมาณ 40 นาที
  • แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%A5

ประวัติการเสียดินแดนของไทย 14 ครั้ง พอหรือยัง?
ในบทความ “ไทยอาจเสียดินแดนครั้งที่ 15” เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมจบลงว่า ไทยเสียดินแดนมาแล้ว 14 ครั้ง เสียดินแดนไปแล้ว 782,877 ตร.กม. จากพื้นที่ 1,294,992 ตร.กม. ในอดีต วันนี้ไทยเหลือพื้นที่เพียง 512,115 ตร.กม. 

ก็มีผู้สนใจถามไถ่ ไทยเสียดินแดนไป 14 ครั้งอย่างไร ผมก็พยายามค้นจากเว็บเอามาปะติดต่อปะต่อเล่าสู่กันฟังเท่าที่ค้นได้ แต่ไม่สมบูรณ์นัก

ผมจำได้ว่าเคยไปดูที่พิพิธภัณฑ์ในพระบรมมหาราชวัง เห็นแผนที่ประเทศไทยตั้งแต่สมัย พระเจ้าตากสินมหาราช แล้วก็ตื่นตะลึง นึกไม่ถึงว่าราชอาณาจักรไทยสมัยก่อนจะยิ่งใหญ่ แผ่อิทธิผลขึ้นไปถึงประเทศกัมพูชาลาวจนถึงทางตอนใต้ของประเทศจีน ก่อนที่จะค่อยๆหดลงมาเรื่อยๆ

ไทยเสียดินแดน ครั้งที่ 1 ให้ อังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ 1 คือ เกาะหมาก หรือ ปีนัง ของมาเลเซียในปัจจุบัน พื้นที่ 375 ตร.กม. เพราะ พระยาไทรบุรี กบฏและให้อังกฤษเช่าเพื่อขอความคุ้มครอง แล้วอังกฤษก็ยึดเอาไปดื้อๆ 

ครั้งที่ 2 เสียเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี พื้นที่ 55,000 ตร.กม. ให้ พม่า ในรัชกาลที่ 1 มังสัจจาเจ้าเมืองทวายเป็นไส้สึกให้พม่า เพราะไม่พอใจที่กองทัพไทยเข้ายึดครอง และไทยไม่สามารถตีคืนกลับมาได้

ครั้งที่ 3 เสียเมืองบันทายมาศ หรือ ฮาเตียน ให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 3

ครั้งที่ 4 เสียเมืองแสนหวี เมืองพง เชียงตุง พื้นที่ 62,000 ตร.กม. ให้ พม่า สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นดินแดนที่ไทยได้มาในรัชกาลที่ 1 โดยฝีมือพระเจ้ากาวิละ แต่ไทยไม่มีกำลังยึดครอง เพราะตอนนั้นเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียง จันทน์และรัฐกลันตัน ไทรบุรี

ครั้งที่ 5 เสียรัฐเปรัค ให้ อังกฤษ ใน รัชกาลที่ 3 ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย

ครั้งที่ 6 เสียดินแดนสิบสองปันนา ให้ จีน พื้นที่ 90,000 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 4 เพราะเกิดการแย่งชิงอำนาจกันเองในเมืองเชียงรุ้ง รัชกาลที่ 3 ส่งกองทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเชียงตุงเพื่อต่อไปเชียงรุ้ง แต่ไม่สำเร็จ รัชกาลที่ 4 ก็ให้ยกกองทัพไปตีเชียงตุงอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ เลยตกเป็นของจีนไป

ครั้งที่ 7 เสียดินแดนเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้ ฝรั่งเศส พื้นที่ 124,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะไทยอ่อนแอเอง

ครั้งที่ 8 เสียดินแดนสิบสองจุไท (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้ ฝรั่งเศส พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อก่อกบฏไทยส่งกองทัพไปปราบ แต่สองแม่ทัพไม่ถูกกัน ฝรั่งเศสฉวยโอกาสส่งทหารเข้าเมืองไล อ้างไปช่วยไทยปราบฮ่อ เมื่อปราบได้แล้ว ฝรั่งเศสไม่ยอมยกทัพกลับ ในที่สุดไทยต้องยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเชียงค้อ

ครั้งที่ 9 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน อันอุดมสมบูรณ์ให้ อังกฤษ ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 30,000 ตร.กม. ปัจจุบันเป็นของพม่า

ครั้งที่ 10 เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หรือ ลาว ในปัจจุบันให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ซึ่งเป็นของไทยตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนเรศวร เป็นการเสียดินแดนที่เจ็บปวดที่สุดเพราะถูกฝรั่งเศสยึดจันทบุรีและตราดบีบบังคับ

ครั้งที่ 11 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ให้ ฝรั่งเศส อีก พื้นที่ 25,500 ตร.กม. ใน รัชกาลที่ 5 เพื่อแลกกับจันทบุรี

ครั้งที่ 12 เสียมณฑลบูรพา ประกอบด้วย พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้ ฝรั่งเศส ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 51,000 ตร.กม. เพื่อแลกกับ ตราด เกาะกง ด่านซ้าย แต่ฝรั่งเศสถอนทหารจากตราดและด่านซ้าย แต่ไม่คืนเกาะกงให้ไทย

ครั้งที่ 13 เสีย รัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปริส ให้ อังกฤษ ในรัชกาลที่ 5 พื้นที่ 80,000 ตร.กม. เพื่อแลกกับอำนาจศาลไทย ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย

ครั้งที่ 14 เสีย ปราสาทพระวิหาร ให้ เขมร เมื่อ 15 มิถุนายน 2505 ใน รัชกาลที่ 9 พื้นที่ 2 ตร.กม. ตามคำพิพากษาศาลโลก ซึ่งไทยไม่ยอมรับ เพราะมีผู้พิพากษาสองคนมาจากประเทศคอมมิวนิสต์ ทำให้ เชื่อว่าเอนเอียง

ครั้งที่ 15 ไทยอาจเสียพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรอีก เพราะรัฐบาลสมัครเซ็นให้เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลก ทั้งที่ข้อพิพาทยังไม่จบ.

ที่มาhttp://www.praviharn.net/index.php?option=com_content&view=article&id=52&Itemid=66

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555


How To Learn English Get Successful?
Here are some tips which may help you to master the English Language!
Speak without Fear
The biggest problem most people face in learning a new language is their own fear. They worry that they won’t say things correctly or that they will look stupid so they don’t talk at all.  Don’t do this.  The fastest way to learn anything is to do it – again and again until you get it right.  Like anything, learning English requires practice. Don’t let a little fear stop you from getting what you want. 
Use all of your Resources
Even if you study English at a language school it doesn’t mean you can’t learn outside of class.  Using as many different sources, methods and tools as possible, will allow you to learn faster.  There are many different ways you can improve your English, so don’t limit yourself to only one or two.  The internet is a fantastic resource for virtually anything, but for the language learner it's perfect. 
Surround Yourself with English
The absolute best way to learn English is to surround yourself with it.  Take notes in English, put English books around your room, listen to English language radio broadcasts, watch English news, movies and television.  Speak English with your friends whenever you can. The more English material that you have around you, the faster you will learn and the more likely it is that you will begin “thinking in English.” .
Listen to Native Speakers as Much as Possible
There are some good English teachers that have had to learn English as a second language before they could teach it.  However, there are several  reasons why many of the best schools prefer to hire native English speakers. One of the reasons is that native speakers have a natural flow to their speech that students of English should try to imitate.  The closer ESL / EFL students can get to this rhythm or flow, the more convincing and comfortable they will become. 
Watch English Films and Television
This is not only a fun way to learn but it is also very effective.  By watching English films (especially those with English subtitles) you can expand your vocabulary and hear the flow of speech from the actors.  If you listen to the news you can also hear different accents. 
Listen to English Music
Music can be a very effective method of learning English.  In fact, it is often used as a way of improving comprehension.  The best way to learn though, is to get the lyrics (words) to the songs you are listening to and try to read them as the artist sings.  There are several good internet sites where one can find the words for most songs.This way you can practice your listening and reading at the same time.  And if you like to sing, fine.
Study As Often As Possible!
Only by studying things like grammar and vocabulary and doing exercises, can you really improve your knowledge of any language. 
Do Exercises and Take Tests
Many people think that exercises and tests aren't much fun.  However, by completing exercises and taking tests you can really improve your English. One of the best reasons for doing lots of exercises and tests is that they give you a benchmark to compare your future results with.  Often, it is by comparing your score on a test you took yesterday with one you took a month or six months ago that you realize just how much you have learned.  If you never test yourself, you will never know how much you are progressing.Start now by doing some of the many exercises and tests on this site, and return in a few days to see what you've learned. Keep doing this and you really will make some progress with English.
Record Yourself
Nobody likes to hear their own voice on tape but like tests, it is good to compare your tapes from time to time.  You may be so impressed with the progress you are making that you may not mind the sound of your voice as much.
Listen to English
By this, we mean, speak on the phone or listen to radio broadcasts, audiobooks or CDs in English. This is different than watching the television or films because you can’t see the person that is speaking to you.  Many learners of English say that speaking on the phone is one of the most difficult things that they do and the only way to improve is to practice.